ความน่าจะเป็น

ปราบดา หยุ่น

Artwork by Hidetoshi Yamada

กระดาษของฉันตก (มันเป็นกระดาษจากสมุดสมัยฉันศึกษาอยู่มัธยมหนึ่ง สีเส้นน้ำเงินบนผิวของมันเริ่มจาง ทั้งหน้ากระดาษมีเพียงหนึ่งประโยคบนเส้นบรรทัดที่สามนับจากเส้นบนสุด ลายมือบรรจงของฉันเขียนด้วยปากกาลูกลื่นสีดำ น่าแปลกใจที่ยังคมชัดอยู่ถึงวันนี้ ประโยคนั้นมีใจความว่า "ฉันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"

เปลี่ยนแปลงจากอะไรฉันก็จำไม่ได้เสียแล้ว จึงจนใจจริงๆที่จะรู้ว่าฉันรักษาคำปฏิญาณของตัวเองไว้ได้หรือไม่ ฉันลองนึกดู เมื่อครั้งยังอายุประมาณสิบสองสิบสาม ฉันคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ท่าทางจะสลักสำคัญทีเดียว ถึงขั้นต้องสัญญากับตัวเองว่าจะไม่บิดเบือนเคลื่อนคล้อยไปจากความคิดนั้น ฉันคงชอบความคิดอ่านของตัวเองเอามาก

เมื่อก่อนฉันชอบอ่านคำคมนักปราชญ์ ทึกทักเอาว่าตัวเองก็มีความหลักแหลมไม่แพ้กัน เป็นไปได้ที่บังเอิญอ่านเจอบางสิ่งบางอย่างที่ถูกใจฉันเหลือเกิน จนต้องยึดถือเป็นคติประจำตัว จำได้อยู่อันหนึ่ง "หากคุณอยากเป็นคนดี แสดงว่าคุณไม่ใช่คนดี"
อ่านแล้วตบเข่าตัวเองฉาดใหญ่ ชิชะ มันช่างถูกกระดูกดำ ใช่จริงๆ คนที่อยากเป็นคนดีแสดงว่ายังไม่ใช่คนดี เพราะฉะนั้นฉันต้องไม่อยากเป็นคนดี แต่ต้องประพฤติตนให้คนอื่นประจักษ์ว่าฉันเป็นคนดี คิดแล้วอดขำไม่ได้

แม่บอกว่า เมื่อลูกโตขึ้นจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ลูกอาจถามตัวเองว่าลูกเกิดมาทำไม เมื่อคิดหาเหตุผลไม่ได้ ลูกก็จะหันมาโทษพ่อกับแม่ว่าให้กำเนิดลูกทำไม ไม่ได้ขอร้องให้พามาอยู่ในโลกใบนี้เสียหน่อย จู่ๆก็พามาเองโดยไม่ได้รับอนุญาต แม่ขอบอกลูกไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า พ่อกับแม่ขอโทษ สิ่งที่ลูกคิดนั้นเป็นความจริง พ่อกับแม่ไม่มีสิทธิ์ให้กำเนิดลูกโดยไม่ถามไถ่ พามาอยู่ในโลกแล้ว ยังสั่งโน่นสั่งนี่ตามอำเภอใจ บังคับให้เข้าโรงเรียน บังคับให้กินผัก บังคับให้อ่านหนังสือ บังคับให้ตื่น บังคับให้นอน พยายามวางโครงสร้างชีวิตให้ลูกควรประกอบอาชีพนี้ ลูกควรแต่งงานกับคนแบบนั้น ลูกต้องไหว้คนนั้น นับถือคนนี้ เรียกคนนั้นว่าลุง เรียกคนนี้ว่าป้า ทั้งหมดนี้พ่อกับแม่ขอรับผิดด้วยใจจริง ถ้าเป็นไปได้ เมื่อลูกเกิดความต้องการจะมีลูกเป็นของตัวเอง ลองถามเขาดูก่อนว่าอยากเกิดมาไหม ถ้าเขาไม่ตอบก็แสดงว่าไม่อยากเกิด ถ้าเขาไม่อยากเกิดก็ไม่ต้องไปพาเขามา ให้ไปเกิดในท้องหมาท้องแมวตามยถากรรม พ่อกับแม่ผิดไปแล้ว ลูกจะโกรธจะเกลียดก็ตามใจ

แม่เป็นคนฉลาด ชิงพูดไถ่บาปให้ตัวเองก่อนจากไป เมื่อพ่อกับแม่ตายในอุบัติเหตุรถคว่ำ ฉันก็ได้แต่คิดถึง จะให้ไปโกรธไปเกลียดลงคออย่างไร ฉันไม่ได้ขอร้องให้พามาเกิดในโลกนี้ฉันใด พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ขอร้องให้ใครพาหนีไปจากโลกฉันนั้น อย่างน้อยก็คงไม่ต้องการจากไปพร้อมๆกัน ในรถคันเดียวกัน ไม่ใครสักคนคงอยากไปทีหลัง จะได้อยู่กับฉันต่ออีกหน่อย

เพื่อนๆต่างเกรงว่าฉันจะกลายเป็นเด็กมีปัญหาหลังจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น แต่เปล่าเลย ถึงฉันจะเสียใจที่ไม่มีพ่อกับแม่อยู่ใกล้ๆอีกต่อไปแล้ว แต่ฉันก็เป็นคนมีโลกส่วนตัวที่กว้างใหญ่ไพศาลพอสมควร โลกที่มีพ่อมีแม่มีเพื่อนนั้นถือว่าเป็นโลกภายนอก จะขาดไปคนสองคนไม่ได้ทำให้โลกของฉันสะทกสะท้าน เมื่อต้องกลับไปในโลกภายนอกก็มีเหงามีเศร้าบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ถึงกับเป็นปัญหาใหญ่โตให้ต้องไปพึ่งพายาเสพติด ไม่ถึงกับต้องคิดดับชีวิต  ตัวเองตามใครไป เพราะในโลกของฉันมีอิสระไม่จำกัด ฉันจะทำอะไรก็ได้ จะเป็นอะไรก็ได้ จะกินอะไรก็ได้ สนุกสนานเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลใจ ถ้าฉันหันไปพึ่งยาเสพติดก็ต้องห่างเหินจากโลกมหัศจรรย์นั้น หากฉันฆ่าตัวตายก็จะไม่มีวันได้กลับไปหรรษากับมันอีกเลย

ฉันเคยคิดฆ่าตัวตายหนึ่งครั้งตอนเด็ก ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจที่พ่อไม่ยอมซื้อหุ่นยนต์พลาสติกให้ ทั้งที่มันราคาถูกกว่าไวน์ขวดใหม่ของพ่อเป็นไหนๆ ฉันเข้าไปหยิบเน็คไทในตู้เสื้อผ้าของพ่อแล้วมัดมันเป็นบ่วงคล้องไว้ที่คอ ประกาศพร้อมน้ำตาว่าจะผูกคอตาย เป็นภาพที่ยังติดตรึงอยู่ในม่านสมองของฉันมาถึงทุกวันนี้ เพราะมันเป็นการแสดงที่ถึงบทถึงบาทขนาดน่าเข้าชิงรางวัล พ่อมองฉันนิ่ง แล้วเดินหนีไป พ่อบอกว่า ตายเมื่อไรแล้วโทรฯมาบอกด้วย สมัยนั้นฉันไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง ไม่มีแม้แต่เศษสตางค์ในกระเป๋า ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ถึงจะมีโทรศัพท์สาธารณะในภพโน้น ฉันคงไม่มีปัญญาโทรฯกลับบ้านได้

วันนี้ฉันแน่ใจได้แล้วว่าในโลกของคนตายไม่มีโทรศัพท์ เพราะถ้ามี พ่อกับแม่คงโทรฯมาตั้งแต่เพิ่งข้ามไปใหม่ๆ คงไม่ใช่เพราะค่าโทรศัพท์แพง

ฉันย้ายไปอยู่กับคุณตาคุณยาย คุณปู่กับคุณย่าย้ายไปโลกโน้นตั้งแต่ฉันยังไม่เกิด พ่อเล่าให้ฟังว่าปู่เป็นทนาย ฉันรู้เพียงเท่านั้น ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับย่าเลย นอกจากที่คิดคำนวณเอาเองได้ว่าย่าต้องเป็นเมียทนาย ซึ่งเมื่อขึ้นชื่อว่าเมียแล้ว จะเป็นเมียหมอ เมียครู เมียภารโรง ย่อมไม่แตกต่างกันมาก แม้กระทั่งเมียงู ก็ยังเป็นมนุษย์ปรนนิบัติผัวอยู่วันยังค่ำ งูกลับมาบ้าน เหนื่อยหรือไม่เหนื่อยก็ต้องมีข้าวปลาอาหารเพียบพร้อมอยู่บนโต๊ะ งูเมื่อยก็ต้องมีคนนวดให้ งูหิวน้ำก็ไม่ต้องเลื้อยไปหาเองตามบ่อตามบึง

ตาของฉันเปิดร้านขายโจ๊กในตลาด ยายเป็นผู้หญิงประหลาด เพราะไม่ได้เป็นแค่เมียคนขายโจ๊กเท่านั้น ยายยังเป็นครูอีกด้วย ยายสอนดนตรีให้กับนักเรียนประถม รสนิยมในการฟังเพลงของยายก็พิลึกไม่ใช่เล่น เช้าๆฉันตื่นมาก็จะได้ยินโมซาร์ท ได้ยินเบโธเฟน ได้ยินบาค ยายชอบฟังดนตรีดังๆจนคนบ้านใกล้เรือนเคียงรำคาญ เด็กหนุ่มบ้านตรงข้ามก็ไม่ยอมน้อยหน้า หมุนปุ่มเปิดเสียงเพลงร็อคแอนด์โรลล์กระหึ่มแข่งกับยายทุกเช้า ยายบ่นอุบว่าเพลงบ้าบออะไร มีแต่เสียงตะโกนโหวกเหวกไม่รู้เรื่อง ไม่มีศิลปะ ไม่จรรโลงความงดงามให้ประสาทสัมผัส แต่สำหรับคนอื่นในละแวกนั้น ยายต่างหากที่เป็นคนแปลก อยู่บ้านเรือนไม้ที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นมะม่วงกับกระเช้ากล้วยไม้ แต่อุตริเปิดเพลงคลาสสิกของพวกฝรั่งหัวทอง ไม่ได้เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบข้างเอาเสียเลย

นอกจากจะขายโจ๊กแล้ว ตายังชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ลงทุนซื้อเครื่องฉายหนังขนาด 16 มิลลิเมตรมาจากไหนก็ไม่รู้ ทุกคืนวันศุกร์ตาจะฉายหนังให้ยายกับหลานดู เป็นพิธีรีตองสำคัญสำหรับตาทีเดียว ศุกร์ไหนคึกๆก็จะรวบรวมพรรคพวกเพื่อนฝูงมานั่งสังสรรค์กันหน้าจอด้วย บางคนก็ตั้งใจดูหนัง บางคนก็ตั้งใจเมา แล้วแต่ความถนัดและความชอบของแต่ละคน

จอของตาคือผ้าปูที่นอนสีขาวดีๆนี่เอง จับขึงกับขอบประตูให้ตึง เครื่องฉายหนังของตาไม่มีเสียง ยายจึงทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมดนตรีด้วยความสมัครใจ โมซาร์ทเป็นคนโปรดตลอดกาลของยาย ไม่ว่าหนังจะเป็นเรื่องอะไร ดนตรีต้องเป็นโมซาร์ท ฉันดูหนังเงียบกลั้วเสียงโมซาร์ทมาหลายเรื่อง จนบัดนี้เวลาเข้าไปดูหนังในโรงทีไร เสียงโมซาร์ทยังดังก้องอยู่ในหู

หนังที่ตานิยมฉายที่สุดคือหนังเขย่าขวัญคลาสสิกเรื่องแดร๊กคูล่าฉบับขาวดำ นำแสดงโดย เบล่า ลูโกซี่ โดยเฉพาะศุกร์ไหนที่ฝนตกหนักๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าตาจะฉายเรื่องอะไรให้เหมาะกับบรรยากาศ จะว่าไป หน้าตาและรูปพรรณสัณฐานของตาก็ไม่ต่างไปจากท่านเคานต์แดร๊กคูล่าในเรื่องเท่าไร แก้มของตาตอบ กระดูกกรามหักมุมเป็นเหลี่ยมแหลมจรดลงตรงปลายคาง เบ้าตาลึกเป็นหลุม คิ้วสีดำขลับทิ้งปลายคมกริบขึ้นหาขมับ ผมของตาหวีเรียบแปล้ไปกับรูปศีรษะ เสียแต่ว่าตาไม่มีเขี้ยว และบริเวณต้นคอของยายก็ไม่เคยปรากฏรอยกัดสองจุดตามลักษณะรอยกัดของผีดูดเลือดแต่อย่างไร ตาเป็นคนขายโจ๊กธรรมดาๆ ตอนกลางวันเป็นยังไง ตอนกลางคืนก็เป็นอย่างนั้น มิได้กลายร่างเป็นค้างคาวกระพือปีกพั่บๆท่องราตรีไปเที่ยวกัดคอชาวบ้านให้เป็นที่อกสั่นขวัญแขวน กระเทียมตาก็รับประทานได้ ไม่เกิดอาการวิตกกังวลต้องยกไม้ยกมือขึ้นปกป้องใบหน้าเมื่อเห็นกระเทียมสักหัวสองหัว ตานับถือศาสนาพุทธ สวดมนต์ไหว้พระก่อนหัวตกถึงหมอนทุกวัน ต่อให้ใครเอาไม้ยาวๆสองท่อนมาวางทับกันให้เป็นรูปไม้กางเขน ตาก็ไม่มีทางหวาดหวั่น และที่สำคัญ ตาเป็นคนรักแดด ชอบออกไปนั่งยองๆตัดเล็มยอดหญ้าในสนามหน้าบ้านยามว่าง หมวกก็ไม่ใส่ ปล่อยให้แสงสว่างสาดลงใส่ผิวจนคล้ำ หากเป็นผีดูดเลือด ร่างคงมอดไหม้เป็นจุณตั้งแต่ตาก้าวออกจากประตูบ้าน

ตาของฉันเป็นมนุษย์สามัญ มิได้มีชีวิตเป็นอมตะ อยู่มาวันหนึ่ง ตาก็ตาย

ตาบอกว่าหนังเรื่องแดร๊กคูล่าที่จริงแล้วไม่ใช่หนังผี แดร๊กคูล่าไม่ได้เป็นผีที่มีแต่วิญญาณเที่ยวอาฆาตพยาบาทมนุษย์ คอยมาหลอกหลอนแหกอก แลบลิ้นปลิ้นตา ยื่นแขนยาวๆเก็บลูกมะนาวใต้ถุนบ้านเหมือนผีขี้เกียจเดินแบบไทยๆ แต่เคานต์แดร๊กคูล่าโชคร้ายตายไม่ได้ ถูกสาปแช่งให้มีชีวิตยืนยาวตลอดกาล ต้องเลี้ยงชีพอยู่เยี่ยงสัตว์เดียรัจฉาน ถือเป็นคนอาภัพยิ่ง ที่จริงท่านเคานต์อาจไม่ได้ประสงค์จะทำร้ายใครเลยแม้แต่น้อย อยู่ในปราสาทสวยๆบนยอดเขาในเมืองชื่อทรานซิลเวเนียของตัวเองไปวันๆก็น่าจะมีความสุขดีอยู่แล้ว ที่ต้องแปลงร่างเป็นค้างคาวไปไล่กัดคอคนนั้นไม่น่าจะเป็นกิจกรรมที่นำความสุขมาให้ได้แต่อย่างใด จะออกไปเดินห้างตอนกลางวันแสกๆเหมือนคนอื่นเขาก็ไม่ได้ คนเราจึงโชคดีนักที่ได้ตายเมื่อเวลามาถึง ความตายเป็นคุณสมบัติอันเลอค่าที่สุดของมนุษย์

ทว่าเมื่อได้สาธิตคุณสมบัติอันเลอค่านั้นให้ประจักษ์แก่สายตาคนรอบข้างแล้ว ฉันกลับรู้สึกว่าความเป็นอมตะนั้นมีอยู่ในมนุษย์เหมือนกัน ไม่ว่าใครจะตาย คนคนนั้นก็ย้ายเข้าไปอยู่ในร่างของคนอื่นต่อกันเป็นทอดไม่จบสิ้น จนกว่ามนุษย์คนสุดท้ายบนโลกจะดับสลายไป

เมื่อตาตาย ตาก็ย้ายเข้าไปอยู่ในร่างยาย ทุกวันศุกร์ยายจะดึงผ้าปูที่นอนสีขาวออกมาขึงกับขอบประตู ยกเครื่องฉายหนังออกจากตู้เก็บของ แล้วฉายหนังเก่าๆของตาให้ฉันดู ยายกลายเป็นคนสองวิญญาณ ทำหน้าที่ฉายหนังและควบคุมดนตรีในร่างเดียวกัน

หนังที่ยายนิยมฉายที่สุดคือเรื่องแดร๊กคูล่า ดนตรีที่เปิดกลั้วกันไปคือโมซาร์ท ซึ่งยายมักจะเปิดแผ่นไวโอลินคอนแชร์โตหมายเลข 5 สลับกับซิมโฟนีหมายเลข 41 หรือที่รู้จักดีในชื่อ จูปิเตอร์ บางครั้งก็ไม่ค่อยเข้ากับการดำเนินเรื่องนัก ถือเอาความชอบใจของยายเป็นหลัก

ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ ขาดเพียงลมหายใจของคนเพียงคนเดียว

ฉันอยู่กับยายจนเข้ามหาวิทยาลัย ยายไม่เคยวุ่นวายกับชีวิตการศึกษาของฉัน จะเรียนอะไรก็เรียนไปเถอะ ยายไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยหรอก ยายเลิกสอนดนตรีหลังการจากไปของตาไม่กี่ปี ร้านโจ๊กของตายังดำเนินกิจการต่อไป ถึงแม้จะเปลี่ยนรสชาติไปบ้าง ลูกค้าก็ยังแน่นร้านอยู่เสมอ คนงานของตายังทำงานอย่างขยันขันแข็ง ช่วยเลี้ยงดูยายให้สบายอยู่ได้โดยไม่ต้องเป็นภาระตกมาถึงฉัน ฉันก็ดำเนินชีวิตวัยคึกคะนองของฉันไปตามประสา

ฉันตัดสินใจเรียนศิลปะเพราะเพื่อนๆของฉันเป็นศิลปินกันเสียส่วนใหญ่ ด้วยเหตุที่มันเรียนอย่างอื่นไม่ได้ดีเอาเสียเลย ฉันก็ทึกทักเอาว่าตัวเองเป็นศิลปินไปด้วย เขียนรูปไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรนักหรอก โชคดีที่สมัยนี้เขาไม่นิยมคนเขียนรูปเป็นเรื่องเป็นราวกันแล้ว ฉันเคยนึกว่าตัวเองเป็นปิกัสโซ่กลับชาติมาเกิด ต่อมาฉันจึงระลึกได้ว่าถึงฉันจะเป็นปิกัสโซ่กลับชาติมาเกิดจริงก็ไม่มีประโยชน์ ปิกัสโซ่ลองมาเรียนศิลปะในยุคนี้คงไปไม่รอดเหมือนกัน อาจารย์คงหาว่าหัวเก่า ทำอะไรโบร่ำโบราณ จะวาดรูปประหลาดอัปลักษณ์ไปทำไมให้เสียเวล่ำเวลา สมัยนี้ต้องคิดลึกๆ ไม่ใช่มัวแต่นั่งร่างภาพผู้หญิงเปลือยอยู่ ต้องมีคอนเซ็ปต์

ไอ้พวกเพื่อนๆฉันมันก็มีคอนเซ็ปต์กันใหญ่ วันๆไม่ทำอะไร ออกไปตระเวนหาคอนเซ็ปต์กันนอกรั้วโรงเรียน หาไม่เจอก็ไม่มีใครว่า การไม่เจอก็เป็นคอนเซ็ปต์ได้เหมือนกัน พวกที่หาเจอก็เหนื่อยไปสิ

เวลาสี่ปีที่ฉันหมดไปกับศิลปะ ฉันนับคอนเซ็ปต์ที่หาเจอได้ไม่ถึงครึ่งนิ้วมือ ที่สำคัญ ฉันยังแปลคำว่าคอนเซ็ปต์ไม่ออกเลย ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ หาเจอมาได้บ้างก็เป็นบุญโขอยู่ ไอ้พวกที่หาเจอกันเยอะๆก็น่านับถือไม่ใช่เล่น บางคนมันก็ยืมคอนเซ็ปต์มาจากคนอื่นกันให้พร่ำเพรื่อ อาจารย์ก็ไม่เห็นทักท้วง ถือการหยิบยืมเป็นคอนเซ็ปต์อีกเช่นกัน ฉันสรุปเอาว่าคอนเซ็ปต์แปลว่าเรื่องของกู ใครมีเรื่องของกูที่น่าสนใจในสายตาคนอื่นก็เจริญไป ใครคิดเรื่องของกูไม่เป็นก็เรื่องของมึง

พอออกมานอกรั้วการศึกษา ก็ใช่ว่าเรื่องของกูจะอยู่รอดในสังคมได้ ใครอยากทำงานได้เงินได้ทองเป็นกอบเป็นกำ ก็ย่อมต้องเอาเรื่องของคนอื่นเป็นใหญ่ไว้ก่อน พวกเพื่อนๆของฉันที่กุเรื่องของกูเก่งกันนักกันหนาก็จำต้องพากันแยกย้ายไปยกยอเรื่องของคนอื่น ไปช่วยเขาขายน้ำยาสระผม ขายเหล้า ขายขนมอบกรอบ ขายเครื่องปรับอากาศ ขายเสื้อผ้า ขายเทป ขายอะไรต่อมิอะไรมากมายนับไม่ถ้วน บางคนก็ทนทำด้วยความเจ็บปวด บางคนยิ่งทำไปยิ่งภูมิใจว่าขายของเก่ง กลายเป็นคอนเซ็ปต์ไปอีก ตาของฉันขายโจ๊กเก่ง ทั้งที่ตาไม่เคยมีคอนเซ็ปต์

ฉันก็จับพลัดจับผลูไปกับเขาด้วย ตามคติที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ฉันจึงเริ่มหลิ่วตาไปกับคนอื่น จนเดี๋ยวนี้เกือบมองอะไรไม่เห็นแล้ว ฉันก็ยังอดทนทำต่อไป ในเมื่อทุกคนหลิ่วตากันหมด จะพยายามให้วิญญาณปิกัสโซ่โผล่ออกมาแสดงฤทธิ์ คงไม่มีใครสังเกต

ฉันกับเพื่อนๆเรียนจบจากสถาบันที่เผอิญมีรุ่นพี่นักหลิ่วตาที่มีอิทธิพลในวงการมากมาย การได้รับเข้าทำงานจึงไม่ใช่เรื่องยาก ยังไม่ทันเรียนจบก็มีคนชวนไปทำโน่นทำนี่เยอะแยะ เป็นการฝึกหลิ่วตาเสียแต่เนิ่นๆ พอรับประกาศนียบัตรเสร็จ วันรุ่งขึ้นฉันก็เข้าไปนั่งเล่นอยู่ในที่ทำงานซึ่งเป็นที่อยู่ใหม่ของฉัน ต้องยอมรับว่าที่ทำงานของฉันนั้นสวยงามหรูหราทีเดียว นั่งอยู่เฉยๆก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญขึ้นมาตงิดๆทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย คนรอบข้างก็ดูดีไม่หยอก ใส่เสื้อผ้าทั้งที่ราคาแพงและที่ดูเหมือนว่าราคาแพง ทรงผมของแต่ละคนก็ร่วมสมัยดีแท้ บางคนสายตาก็ปกติ ไม่ได้สั้น ไม่ได้ยาว ไม่ได้เอียง แต่กลับสวมแว่นขอบดำหนาเตอะให้เท่ น่ารักน่าชังไปอีกแบบ หรือว่าอยู่เมืองตาหลิ่วแล้วต้องใส่แว่นก็อาจจะเป็นไปได้

แล้วมันก็เป็นจริง ฉันนั่งเฉยๆอยู่ได้ไม่กี่เดือน ดั้งจมูกของฉันก็ต้องทำหน้าที่รองรับแว่นกรอบดำ เพิ่มความมั่นใจให้ฉันเป็นกอง ใครถาม ฉันก็บอกว่าจู่ๆสายตาของฉันมันก็เล่นตลก เกิดผิดปกติขึ้นมาเองโดยไม่คาดฝัน ไม่รู้เหมือนกันว่ามันสั้น หรือยาว หรือเอียง แต่ที่แน่ๆคือมันมองอะไรไม่ค่อยชัด ยิ่งเวลาต้องมองผลิตภัณฑ์สินค้าที่ฉันมีหน้าที่ต้องขาย สภาพสายตายิ่งขุ่นมัวอย่างไรชอบกล ไม่ได้ไปถามความเห็นจากจักษุแพทย์ที่ไหนหรอก ตัดสินใจซื้อแว่นใส่เองเลย ถือเป็นเรื่องของจิตวิทยามากกว่า ใส่แล้วโลกทัศน์ชัดเจนขึ้น ทำงานสะดวก ขายของเก่ง เจอใครๆก็เรียกพี่ ฉันเพิ่งรู้สึกถึงรสชาติของการได้เป็นพี่ของคนที่ไม่ได้เกี่ยวดองปรองญาติ ช่างเป็นความรู้สึกที่สร้างพลังลึกลับมหาศาลระหว่างทรวงอก ช่วยเพิ่มเติมความฮึกเหิมให้กับชีวิตประจำวัน แต่บางทีฉันก็ต้องระงับความรู้สึกนั้นเอาไว้ ไม่ให้ประเจิดประเจ้อจนออกนอกหน้า ฉันต้องแกล้งบอกไปว่า ไม่ต้องมาเรียกพี่หรอก อายุก็ไล่เลี่ยกัน แต่ในใจของฉันบอกว่า ถ้าเจอกันคราวหน้าแล้วมึงไม่เรียกกูว่าพี่ละก็ กูจะไม่คบกับมึงอีก กับคนสนิท ฉันจะย้ำเสมอว่า อย่าเชื่อคำที่ออกมาจากปากของฉันจนเกินไป มันไม่ตรงกับใจจริงๆ จะเอาไม้บรรทัดยี่ห้อไหนมาวัดก็ไม่ตรง เพราะเป็นธรรมชาติของคนเมืองตาหลิ่วที่อาการผิดปกติทางสายตามักทำให้เส้นสมองส่วนที่บงการคำพูดนั้นบิดเบี้ยวไปด้วย อย่าได้ถือสาไปเลย

งานโฆษณาชิ้นแรกที่ฉันเป็นคนสร้างสรรค์อย่างเต็มตัวภายใต้แว่นใหม่สร้างชื่อเสียงให้ฉันพอประมาณ ผลดีที่ตามมาก็คือ ฉันมีน้องๆเพิ่มขึ้นในสังคมอีกหลายคน ผลดีอีกอย่างคืองานที่เข้ามาอย่างล้นหลาม งานของฉันเน้นอารมณ์ขันเป็นหลัก ยิ่งทำให้มนุษย์หัวเราะได้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งเจริญเร็วเท่านั้น ฉันไม่สนใจหรอกว่าของที่ฉันต้องขายนั้นเกี่ยวอะไรกับการสร้างสรรค์ของฉันหรือไม่ เป็นโชคดีที่เจ้าของสินค้าเขาก็ไม่ค่อยสนใจเหมือนกัน ยิ่งไม่เกี่ยวเท่าไรยิ่งดี ขอแค่ให้ชื่อสินค้าติดหูคนก็ตรงเป้าหมายแล้ว ขืนไปประกาศสรรพคุณมากเข้า กลัวต้องกุเรื่องโกหกเกินเหตุจำเป็น จะพากันตกนรกเป็นแถวๆ เอาแค่มดเท็จนิดหน่อยพอหอมปากหอมคอ มดเป็นสัตว์ตัวเล็ก จะเท็จอย่างไรก็ไม่มีผลใหญ่โตต่อมวลมนุษยชาติ เวลาทำงานฉันถือตัวเองเป็นมด แต่เมื่อการเท็จของฉันสัมฤทธิผล ฉันคือราชสีห์

ยายแก่ตัวไปกับวันเวลา ฉันไม่ค่อยว่างไปเยี่ยมเยียนยายบ่อยนัก โทรฯไปทีไรน้ำเสียงยายยังสดชื่น ยายตื่นไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้บ้านกับเพื่อนรุ่นคราวเดียวกันทุกเช้า เมื่ออยู่บ้านเฉยๆก็ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า รับอาสาพาลูกหลานเพื่อนมาเลี้ยงดูตอนกลางวัน เลี้ยงไปด้วยก็กล่อมทั้งเด็กทั้งตัวเองด้วยดนตรีคลาสสิกอันโปรดปรานไม่มีวันเลิก ฉันไม่เป็นห่วงยายเพราะรู้ว่ายายเข้มแข็งทั้งกายและใจ แต่ถ้าจะให้บอกความจริง บางทีฉันก็มัวแต่ห่วงตัวเองจนลืมยายเป็นปลิดทิ้ง ช่างเป็นสำนวนที่น่ารังเกียจพิลึก เป็นปลิดทิ้ง เหมือนยายเป็นใบไม้เหี่ยวๆ ที่ต่อให้เจอแสงแดดจัดจ้าขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์ ไม่สามารถรับอาหารได้อีกต่อไป ปลิดมันทิ้งไปเสียเถิด ใบอ่อนใหม่ๆจะได้มีที่เกิด ฉันต้องเตือนตัวเองเสมอไม่ให้ลืมใครเป็นปลิดทิ้ง โดยเฉพาะยาย เพราะหากปลิดยายทิ้งไปเสียแล้ว ทั้งต้นจะเหลือฉันอยู่เพียงใบเดียว

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ฉันได้รับมอบหมายงานใหม่ สินค้าคือลูกอมดับกลิ่นปาก ฉันคิดไปคิดมาหลายตลบว่าคราวนี้จะสร้างสรรค์อย่างไรดี แล้วหลอดไฟก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวเหมือนทุกครั้งที่ฉันคิดงานออก เป็นที่น่าสังเกตว่า เวลาฉันไม่ได้คิดงาน เหนือหัวของฉันไม่เคยปรากฏหลอดไฟสักหลอด แปลว่าตามปกติแล้ว สมองของฉันมันมืดมิดทึมทึบคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปวันๆ คลำหาทิศทางโดยไม่ใส่ใจไยดี จะหาแสงสว่างแต่ละครั้งต้องมีเงื่อนไข ถ้าไม่เป็นงานไม่เป็นเงินก็ปล่อยให้มันมืดอยู่อย่างนั้น เกรงว่าสว่างไปแล้วจะเห็นความกลวงโบ๋น่าใจหาย คลังสมองของฉันอาจดูใหญ่โตจากภายนอก คล้ายมีเสบียงปัญญาตุนไว้ไม่มีวันหมด แต่ขืนมีหลอดไฟสว่างสักดวงที่เฉิดฉายอยู่ภายในตลอดเวลา จะเห็นเพียงโกดังโล่งๆ โยนเข็มลงไปสักเล่มรับรองส่งเสียงกระทบก้องจนปวดแก้วหู ทิ้งไว้มืดๆจะปลอดภัยกว่า

ฉันนึกถึงใบหน้าของนายเบล่า ลูโกซี่ ในหนังเรื่องแดร๊กคูล่า ฉันจะจับเอาผู้ชายคางแหลมสักคนมาแต่งหน้าแต่งตัวให้เหมือนท่านเคานต์ ยิ่งเป็นดารารุ่นเดอะที่หางานแสดงหนังแสดงละครไม่ได้แล้วยิ่งดี ถือว่าเป็นการทำบุญสงเคราะห์นักแสดงอาวุโส เผลอๆจะกลับมาโด่งดังอีกครั้ง ฉันจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชุบชีวิตคนมีความสามารถ ใครอายุมากหน่อยก็ขึ้นชื่อว่ามีความสามารถทั้งนั้นในเมืองตาหลิ่ว สมัยยังหนุ่มยังแน่นอาจจะไม่ได้เรื่องเลยก็ได้ พอได้ตัวท่านเคานต์แล้ว ก็ต้องหานางแบบสวยๆสักคนมาเล่นเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ควรเป็นเด็กผู้หญิงหน้าใหม่ยังไม่ได้ผ่านหน้ากล้องมามากจนสิวเสี้ยนขึ้นเป็นผื่นเพราะเครื่องแต่งหน้า พวกนั้นเปลี่ยนอาชีพเป็นศิลปินเพลงกันไปหมดแล้ว จะให้มาเล่นโฆษณาแต่ละครั้งก็มากทั้งเรื่องมากทั้งเงิน ตัดปัญหาด้วยการใช้เด็กใหม่ ถ้าดวงดีก็จะแตกเป็นพลุ กลายเป็นนางแบบคลื่นลูกใหม่มาแรง ถ้าเธอถูกโฉลกกับชายอายุมากกว่า ฉันก็อาจจะส้มหล่น ได้ควงเด็กผู้หญิงหน้าตาดีที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะไปไหนมาไหนด้วยได้หลายเดือนในฐานะผู้ชักนำเข้าสู่วงการ ได้นางแบบถูกใจแล้วก็ต้องตามด้วยนายแบบหล่อๆสักคนมาเป็นผู้ปราบผีดูดเลือด มีชื่อเสียงอยู่บ้างแล้วก็ดี ลูกค้าจะได้พอใจ สำหรับฉันแล้วมันจะเป็นใครก็ช่าง ฉันไม่อยากควงนายแบบหน้าตาดีไปไหนมาไหนด้วย ยกให้เหล่านักรักร่วมเพศในทีมงานฉันเป็นคนตัดสินก็แล้วกัน

หนังของฉันต้องเป็นขาวดำเหมือนหนังฉบับจริง เปิดเรื่องขึ้นมาด้วยตัวหนังสือแบบโบราณ ที่คนนิยมใช้เป็นไตเติ้ลหนังเขย่าขวัญ ฉันจะขึ้นชื่อเรื่องใหญ่ๆว่า "แดร๊กคูล่าผจญ..." ที่จุดจุดจุดไว้คือชื่อยี่ห้อลูกอมดับกลิ่นปาก ภาพแรกต้องเป็นปราสาทหินของท่านเคานต์ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา ฝนกระหน่ำตกไม่ลืมหูลืมตา สายฟ้าพุ่งแปลบปลาบไปมาน่าขนลุก จากนั้นก็ตัดไปภายในปราสาท แดร๊กคูล่ากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับเหยื่อสาวบนเตียง โคลสอัพไปที่ปลายเขี้ยวอันคมกริบกำลังเคลื่อนเข้าหาผิวขาวผุดผ่องของคอหญิง

ทันใดนั้น ท่านเคานต์ก็ได้ยินเสียงประตูปราสาทถูกพังทลายลง ยังไม่ทันได้กัดคอน้องนางให้หายมันเขี้ยวก็ต้องชะงักด้วยความตกใจ ตัดภาพไปที่ตีนกระไดชั้นล่างของปราสาท นักปราบผีดูดเลือดหนุ่มกำลังย่างขึ้นตามขั้นพร้อมคบเพลิงในมือซ้าย มือขวาถือไม้กางเขน ท่านเคานต์โผล่พรวดออกมาที่หัวกระได ใบหน้าเดือดด้วยโทสะ ชายหนุ่มไม่รีรอ ขว้างคบเพลิงไปที่แดร๊กคูล่า หมายให้ไฟเผาผลาญผีดูดเลือดจนสิ้นฤทธิ์ ทว่าท่านเคานต์เป็นนักตะกร้อเก่า เดาะคบเพลิงทีเดียวก็กระดอนกลับไปหาตัวหนุ่มนักปราบ เล่นเอาไฟลุกลามตามเสื้อผ้าแทบดับไม่ทัน ชายหนุ่มยังไม่ลดละ ถึงผมจะเกรียมเป็นตอตะโกก็มุ่งมั่นจะพิชิตมารร้ายให้ได้ เขายกไม้กางเขนขึ้น แล้วย่างเท้ากระชั้นชิดตัวท่านเคานต์เข้าทุกที แต่ท่านเคานต์กลับยืนนิ่ง แถมแสยะยิ้มเยาะเย้ยนักรบหนุ่ม ไม่สะทกสะท้านกับเครื่องหมายของพระเจ้าแต่อย่างใด สร้างความฉงนให้หนุ่มรูปหล่อเป็นอย่างยิ่ง แดร๊กคูล่าเกิดความสงสารชายหนุ่มจึงยอมเผยความลับให้เอาบุญ โดยการส่งสัญญาณมือเรียกให้ชายหนุ่มหันไปมองบนผนังปราสาท

ไม่ไกลจากที่ทั้งสองยืนสู้รบตบมือกันอยู่ ภาพแพนตามสัญญาณมือของท่านเคานต์ ปรากฏให้เห็นหิ้งพระที่มีธูปเทียนบูชาพร้อมดอกบัวปักไว้เสร็จสรรพ แดร๊กคูล่าได้เปลี่ยนศาสนาเสียแล้ว ต่อให้ขนไม้กางเขนมาเป็นคันรถก็ไม่มีประโยชน์ ชายหนุ่มเหงื่อตก โยนไม้กางเขนทิ้งไปอย่างขวยเขิน พนมมือไหว้ท่านเคานต์หนึ่งที แล้ววิ่งแจ้นลงกระไดหนีออกจากประตูปราสาทไป ภาพตัดกลับสู่ห้องนอนของท่านเคานต์ เหยื่อสาวยังนอนนิ่งอยู่บนที่นอนนุ่ม แดร๊กคูล่าเคลื่อนตัวเข้าห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมปฏิบัติศึกกับสาวน้อยผิวนวล ตัดภาพเป็นโคลสอัพที่เขี้ยวท่านเคานต์อีกครั้ง คราวนี้เมื่อปลายคมใกล้แตะผิวละมุน สาวน้อยนิทราก็ลืมตาโพลง ยื่นลูกอมดับกลิ่นปากให้ผีดูดเลือด "ไม่อม...ไม่ให้ดูดนะจ๊ะ" ที่จุดจุดจุดคือชื่อยี่ห้อลูกอมดังกล่าว ว่าแล้วสาวสวยก็ส่งยิ้มหวาน แดร๊กคูล่าดีดลูกอมเข้าปากแต่โดยดี

ภาพสุดท้ายกลับไปที่ภายนอกปราสาทอีกครั้ง คราวนี้ฝนหยุดแล้ว ฟ้ากำลังเริ่มสาง ค้างคาวสองตัวบินเคียงคู่กันออกจากหน้าต่างชั้นสองของปราสาทอย่างมีความสุข เสียงพากย์ประกอบภาพในช่วงนี้ดังขึ้น "แดร๊กคูล่าสมัยใหม่ใช้..." ที่จุดจุดจุดคือชื่อยี่ห้อลูกอมดังกล่าว พูดจบค้างคาวคู่รักหวานแหววก็กระพือปีกผ่านจอไป ตัวหนังสือขึ้น "โปรดติดตามภาคสอง" เผื่อเรื่องของกูชิ้นนี้ขายได้ จะได้ทำตอนต่อไป จริงๆถ้าขายไม่ดี ก็ทิ้งไว้เป็นความเก๋ไก๋

ดนตรีประกอบในหนังของฉันมีโมซาร์ทแน่นอน แต่จะเล่นคลอเบาๆอยู่เบื้องหลังเท่านั้น ดนตรีหลักจะเป็นดนตรีคลอนอารมณ์ตามสูตรดนตรีประกอบหนังผีทั่วไป เพราะความจริงไวโอลินคอนแชร์โตหมายเลข 5 กับซิมโฟนีหมายเลข 41 ก็ไม่ค่อยเข้ากับเนื้อภาพนัก แต่ไหนๆจะเอาความทรงจำสมัยเด็กมาขายแล้ว ฉันต้องจำลองให้ใกล้เคียงที่สุด

เดาไว้ไม่ผิดว่างานสร้างสรรค์ของฉันต้องเป็นที่ชื่นชอบในที่ประชุม ก็ฉันคิดขึ้นให้คนอื่นชอบ คนอื่นก็ต้องชอบเป็นเรื่องธรรมดา เป็นหนึ่งในหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว ประชุมแค่ครั้งสองครั้งก็ผ่าน เริ่มงานได้เลย

ว่ากันว่าคนเราใช้สมองเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น พวกอัจฉริยะอาจจะใช้ได้มากกว่าคนเดินดินธรรมดาหน่อย แต่ฉันไม่ใช่อัจฉริยะ ยิ่งฉันใช้ความคิด เปอร์เซ็นต์การใช้สมองของฉันยิ่งลดต่ำลง เหล่าเจ้านายในที่ประชุมยิ่งใช้สมองน้อยเปอร์เซ็นต์กว่าฉันเสียอีก ไม่เช่นนั้นคงไม่รับความคิดตื้นๆของฉันได้โดยง่ายดายดังเช่นที่เป็นอยู่ ฉันคิดอะไรออกมาก็ขำกันกลิ้ง ยิ่งความคิดกระจอกเท่าไร ก็ยิ่งกลิ้งกันมากตลบเท่านั้น

การขยายความทรงจำวัยเด็กของฉันผ่านไปด้วยดี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นางเอกในเรื่องมาควงเล่น แต่ฉันก็ได้น้องสาวตาโตเด็กฝึกงานไว้พาไปทัศนาจรเมืองกรุงด้วยกันยามราตรีอยู่พักใหญ่ ทัศนาจนหมดทุกที่ที่จำเป็นต้องทัศนาแล้วก็จรกันไป ฉันต้องเก็บหอมรอมริบอีกครั้งเพื่อต้อนรับการทัศนาจรครั้งใหม่กับสาวน้อยคนใหม่ ณ นาทีนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ฉันก็ไม่ต้องกังวลใจให้ระบบขับถ่ายปั่นป่วนไปเปล่าๆ

ฉันภูมิใจกับหนังเรื่องแดร๊กคูล่าผจญลูกอมดับกลิ่นปากเรื่องนั้นไม่น้อย ถึงกับอัดเทปเอาไปให้ยายเก็บไว้เปิดดูยามเหงา

ฉันขับรถคันใหม่ที่ถอยออกมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองไปเยี่ยมยายพร้อมวิดีโอแดร๊กคูล่า ต้องมีของไปอวดจึงจะถ่อร่างไปหา ยายก็ดีใจเหลือเกิน จัดแจงหาของกินที่ฉันโปรดปรานรอไว้ปรนนิบัติแต่เช้า ไปถึงฉันก็ไม่รีรอ บอกยายๆดูนี่ก่อน ไม่รู้ว่ายายได้ดูในทีวีบ้างแล้วหรือยัง ฉันทำหนังเรื่องนี้ให้ยายกับตาโดยเฉพาะเชียวนะ ฉันจับตลับเทปยัดเข้าไปในเครื่องเล่นวิดีโอ ยายก็ตั้งหน้าตั้งตารอดูภาพที่จะปรากฏบนจอด้วยความตื่นเต้น แต่จอของยายมิได้อยู่บนตัวโทรทัศน์ สายตาของยายจับอยู่ที่ตัวฉัน ที่ใบหน้าฉัน เหมือนฉันเป็นหนังเก่าที่ยายไม่ได้ดูมานาน ฉันทำเป็นไม่สนใจ ปากก็เล่าเรื่องราวเบื้องหลังการถ่ายทำหนังโฆษณาชิ้นนั้นให้ยายฟัง โดยไม่ใส่ใจว่ายายจะเข้าใจศัพท์เฉพาะของคนวงการโฆษณาหรือไม่ ยายเองก็ไม่มีทีท่าว่าสนใจเหมือนกัน ได้แต่เงี่ยหูฟังอย่างว่านอนสอนง่าย ฉันพูดอะไร ยายก็ยิ้ม ฉันหัวเราะ ยายก็หัวเราะ หากลูกค้าของฉันเป็นเหมือนยายทุกคนก็คงดี คงทำงานสะดวกขึ้นเยอะ

ยายดูหนังแดร๊กคูล่าผจญลูกอมดับกลิ่นปากของฉันด้วยรอยยิ้ม แต่ฉันกลับรู้สึกแปลกเมื่อได้มานั่งดูผลงานชิ้นนี้กับยายในบ้านยาย บ้านซึ่งเป็นที่มาของความทรงจำเกี่ยวกับท่านเคานต์นักดูดเลือด ความทรงจำที่ทำให้ฉันได้สตางค์มาใช้ ความทรงจำที่ซื้อความเชื่อถือจากผู้ร่วมงานและลูกค้า ฉันมองจอโทรทัศน์รุ่นโบราณของยายด้วยอาการเหม่อลอย

สนุกดีนี่ลูก เป็นคำวิจารณ์ของยายเมื่อหนังจบลง

ไม่เห็นสนุกเลย

ฉันถามยายว่าได้ยินดนตรีโมซาร์ทในหนังหรือเปล่า ยายตีสีหน้าประหลาดใจ มีดนตรีโมซาร์ทด้วยหรือ ฉันพยักหน้า มีสิ ไวโอลินคอนแชร์โตหมายเลข 5 กับซิมโฟนีหมายเลข 41 ที่ยายใช้บรรเลงควบคู่กับหนังแดร๊กคูล่า ฉบับเบล่า ลูโกซี่ ที่ตาชอบฉายหลายคืนวันศุกร์นั่นไง ยายว่า อ๋อ เหรอ จริงเหรอ มีด้วยเหรอ ไม่ยักได้ยิน ยายแก่แล้วนี่ลูก หูตาไม่ค่อยดี ฉันอยากกรอเทปกลับแล้วเปิดหนังให้ยายดูอีกรอบ ยายลองตั้งใจฟังสักนิดนะ ยายบอกไม่ต้องหรอก ยายเชื่อว่ามีดนตรีโมซาร์ทอย่างที่ลูกว่า ไม่ต้องดูอีกรอบหรอก

วันนี้ฉันอยู่บ้านยาย แต่ยายไม่อยู่เสียแล้ว ยายไปไหนก็ไม่รู้ เหมือนพ่อกับแม่ที่ไปไหนก็ไม่รู้ เหมือนตาที่ไปไหนก็ไม่รู้ ฉันมานั่งอยู่ที่บ้านยายเพื่อเก็บของ ในเมื่อไม่มียายอยู่แล้ว บ้านหลังนี้ก็หมดความจำเป็น ฉันมานั่งรื้อนั่งเลือกของที่จะเก็บไว้เป็นที่ระลึก ฉันเพิ่งรู้ว่ายายเป็นนักเก็บของตัวยง ทั้งหนังสือเรียน หนังสือการ์ตูน นิตยสาร ของเล่น ข้าวของของฉันในวัยเด็ก ยายเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบในตู้ ขนไปวันนี้วันเดียวคงไม่หมด

แผ่นเสียงดนตรีคลาสสิกของยายมีอยู่เป็นสิบๆลัง ทุกแผ่นยังอยู่ในสภาพดี เครื่องฉายหนังของตาก็เช่นกัน เอี่ยมอ่องเหมือนของใหม่ หนังทุกเรื่องของตายังบรรจุอยู่ในตลับเหล็ก ฉันหยิบตลับหนึ่งขึ้นมาถือในมือนานเป็นพิเศษ บนตลับมีลายมือของตาเขียนเป็นภาษาอังกฤษ "Dracula" ฉันนึกถึงผ้าปูที่นอนสีขาวผืนนั้น นึกถึงแสงไฟจากเครื่องฉายหนังที่ส่งเป็นเส้นผ่านความมืดไปตกลงบนเนื้อผ่องของผ้า

ฉันเปิดสมุดและหนังสือเรียนหน้าปกเชยๆสมัยมัธยมออกดู หลายเล่มเต็มไปด้วยการ์ตูนที่ฉันแอบเขียนเล่นระหว่างชั่วโมงเรียน หลายหน้าในสมุดเปรอะเปื้อนไปด้วยสงครามดาว ฉันไม่ได้เล่นสงครามดาวนานแล้ว มันเป็นเกมของเด็ก วาดรูปดาวเป็นกองทัพแล้วใช้ปลายปากกาลูกลื่นยิงเป็นเส้นให้โดนกองทัพดาวของอีกฝ่าย ยิงโดนดาวก็ดับ

จำได้ว่าฉันเคยพยายามเขียนบันทึกอยู่หลายครั้ง แต่ละครั้งเขียนได้ไม่เกินอาทิตย์ก็เบื่อ เลิกเขียนไปในที่สุด

เด็กๆจะมีเรื่องราวประจำวันอะไรให้บันทึกมากมาย วันนี้ฉันตื่นไปโรงเรียน ถูกครูตีหนึ่งครั้ง กลับบ้าน ดูทีวี อ่านการ์ตูน นอน

กระดาษเส้นสีน้ำเงินจางๆแผ่นนี้เป็นหน้าหนึ่งจากสมุดบันทึกที่ฉันเขียนไม่เสร็จ

"ฉันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"

เปลี่ยนแปลงจากอะไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว

แต่ฉันก็อยากรักษามันไว้ เป็นไปได้ว่าสักวันจะนึกออก) ฉันจึงก้มลงไปเก็บ